วัดบ้านหงาว เริ่มก่อตั้งเป็นที่พักสงฆ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยในปีนั้น มีพระธุดงค์ที่มีอายุพรรษามากรูปหนึ่ง ท่านธุดงค์มาจากจังหวัดปัตตานี มีชื่อว่า หลวงพ่อเขียด ไม่ทราบฉายาของท่าน มาปักกรดโปรดสัตว์อยู่ที่บริเวณสถานีอนามัยตำบลหงาวในปัจจุบัน เนื่องจากตำบลหงาวไม่มีวัดมาก่อน ชาวบ้านมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนามาก เมื่อมีพระธุดงค์มาปักกรดโปรดสัตว์ จึงพากันไปนมัสการทำบุญฟังธรรมกันมาก
หลวงพ่อเขียดท่านมีปฏิปทาน่าเคารพเลื่อมในมาก โดยได้ให้ความเมตตาช่วยเหลือชาวบ้านในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างดี ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่บ้านหงาว โดยคุณแม่ลำไย สกุลสิงห์ คหบดีในตำบลหงาว อุทิศที่ดินจำนวน ๒ ไร่ สร้างเป็นที่พักสงฆ์ หลวงพ่อเขียด รับนิมนต์และย้ายไปปักกรดในที่ดินที่คุณแม่ลำไย อุทิศให้ คือบริเวณที่ตั้งวัดบ้านหงาวปัจจุบัน
หลวงพ่อเขียด ได้ขอบิณฑบาตกระดานโลงศพในส่วนที่เป็นฝาและท้องโลงศพที่ชาวบ้านนำศพไปเผาแล้วถอดออกเพื่อทำเป็นเชื้อไฟนำมาทำเป็นกุฏิของท่าน เนื่องจากการเผาศพในสมัยก่อนไม่มีเมรุเผาศพอย่างเช่นในปัจจุบัน เมื่อมีการตายเกิดขึ้น ชาวบ้านจะนำไม้กระดานพื้นหนา ๆ มาทำเป็นโลงศพ เวลาเผาศพก็ทำเป็นเชิงตะกอน โดยนำไม้ฟืนมาวางเรียงซ้อน ๆ กันขึ้น แล้วนำโลงศพขึ้นวางบนเชิงตะกอน ก่อนเผาจะถอดเอากระดานท้องโลงออกและฝาโลงเพื่อใส่เครื่องหอมและทำให้ไฟติดดีและเร็ว พร้อมกับทำพิธีแบบโบราณ คือใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ พลิกศพให้คว่ำหน้าลง ใช้มือฟื้นทับหลังอีก 2 ท่อน ส่วนไม้กระดานท้องโลงและฝาโลงที่ถอดออกจะวางแนบไว้ข้างโลงเป็นเชื้อเพลิงต่อไป เมื่อชาวบ้านนิมนต์ท่านไปบังสุกุลศพเห็นว่าไม้กระดานฝาและท้องโลงนี้น่าจะใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้ ท่านก็ขอบิณฑบาตนำไปทำเป็นกุฏิของท่าน
เนื่องจากหลวงพ่อเขียดเป็นพระธุดงค์ ชอบความสงบ วิเวก เมื่อสร้างที่พักสงฆ์เสร็จแล้ว มีพระภิกษุสามเณรมาอยู่กันมาก คนเริ่มเข้าวัดมากขึ้น ท่านเห็นว่ามีพระอยู่กันหลายรูปแล้ว ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ท่านก็จาริกธุดงค์ไปที่อื่นต่อไป โดยไม่มีใครทราบว่าท่านธุดงค์ไปที่ไหนจนกระทั่งปัจจุบัน
ต่อมาที่พักสงฆ์บ้านหงาวได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นสำนักสงฆ์สาขาวัดอุปนันทาราม มีพระครูสมุห์นิคม อรุโณ มาอยู่เป็นเจ้าสำนัก จึงมีการพัฒนาและก่อสร้างอาคารต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น กุฏิพระสงฆ์ หอฉัน ศาลาการเปรียญ เป็นต้น เพื่อเตรียมการขอตั้งเป็นวัดให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกรมการศาสนา
การที่สำนักสงฆ์จะขอยกฐานะเป็นวัดได้นั้นจะต้องมีที่ดินอย่างน้อย ๖ ไร่ ขึ้นไป และมีกุฏิ เสนาสนะ สิ่งสาธารณูปโภคอย่างอื่น เช่น เมรุเผาศพ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ดร.แหลม พิชัยศรทัต ซึ่งเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทไซมัสกินซินทีเกรด ทำธุรกิจเหมืองเรือขุดแร่อยู่ในตำบลหงาว และเป็นกำนันอยู่ในตำบลหงาวขณะนั้น ท่านได้ของบประมาณจากทางจังหวัดมาสร้างเมรุเผาศพ และขอบริจาคที่ดินจากผู้ที่มีที่ดินติดกับวัด จึงทำให้วัดบ้านหงาวมีที่ดินเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น ๒๒ ไร่ เศษ ดังปัจจุบัน
สำนักสงฆ์หงาวได้เปลี่ยนแปลงตัวเจ้าสำนักบ่อยครั้ง โดยมีเหตุผลจากหลายสาเหตุ ทำให้การพัฒนาวัดหยุดชะงักไม่ต่อเนื่อง และไม่มีรูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสม สิ่งก่อสร้างทีมีอยู่ได้ชำรุดทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 จึงได้ยกฐานะจากสำนักสงฆ์ขึ้นเป็นวัด โดยใช้ชื่อว่า "วัดบ้านหงาว” มีพระอธิการน้อม จนฺทสโร เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก พระอธิการน้อม มรณภาพในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ทางคณะสงฆ์จังหวัดระนองจึงได้ส่งพระสมุห์โกศล กุสโล (อาจารย์ฉลวย กุสโล) มาเป็นเจ้าอาวาสแทน พระสมุห์โกศล กุสโล ท่านเป็นพระนักพัฒนา ท่านได้วางแผนพัฒนาวัดบ้านหงาวอย่างต่อเนื่อง สร้างกุฏิ หอฉัน ศาลาการเปรียญ เมรุเผาศพขึ้นใหม่ รวมทั้งจัดตั้งแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดขึ้นในเหมืองเก่า หาพันธุ์ปลามาปล่อย และตั้งชื่อขุมเหมืองแร่เก่านี้ว่า "วังมัจฉา” มีพันธุ์ปลาน้ำจืดที่หายาก เช่น ปลาบึก มาปล่อยลงวังมัจฉานี้ จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดระนองในปัจจุบัน
แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ภายในวัดบ้านหงาว
อุโบสถวัดบ้านหงาว เป็นอุโบสถ 2 ชั้น หรือที่เรียกว่า อุโบสถลอยฟ้ากว้าง 8 เมตร ยาว 15 เมตร รอบอุโบสถเทคอนกรีตเป็นลานกว้างมีลูกกรงล้อมรอบ ในแต่ละมุมทั้ง 4 ด้าน มีอาคารจัตุรมุขกว้าง มีบันไดขึ้นลงรอบทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ด้านล่างของอุโบสถเป็นห้องโถงใช้สำหรับการประ ชุมสัมมนา ภายในอุโบสถวัดบ้านหงาว เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน มีนามว่า "หลวงพ่อดีบุก” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีชื่อเป็นทางการว่า "พระติปุกะพุทธมหาศากยมุนีศรีรณังค์” อันมีความหมายว่า "พระพุทธรูปดีบุกองค์ใหญ่เป็นสิริมงคลและศักดิ์ศรีของเมืองระนอง” และยังมีความสวยงามของฝาผนังที่แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ อีกด้วย
ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชวัดบ้านหงาว ภายในจะแสดงเรื่องราวการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร ที่ชาวระนองวัดบ้านหงาว ได้บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของจังหวัดระนอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จหลายครา ตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๕ จนถึงปัจจุบัน ทำให้คนในชุมชนมีความพออยู่พอกิน หาเลี้ยงพึ่งพาตนเองได้ ลูกหลานระนองทุกคนมีความเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ระนองเป็นเมืองแห่งความจงรักภักดี
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งมีการรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ทั้งพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สมัยต่าง ๆ เครื่องมือในการร่อนแร่ ครกบดหิน เงินตราสมัยต่าง ๆ ตลอดถึงภาพเก่า ๆ ที่สามารถเล่าเรื่องอดีตให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า
วัดบ้านหงาว มีมรดกทางวัฒนธรรมและมีธรรมชาติอากาศบริสุทธิ์ ภูเขาหญ้าที่สวยงาม ช่วงวันออกพรรษา ที่นี้จะมีการตักบาตรเทโว ที่พระสงฆ์เดินลงเป็นสายทางยาวลงบันได จำนวน ๓๔๓ ขั้น จากยอดเขาลงมา ให้พุทธศาสนิกชน ได้ตักบาตร เสมือนหนึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมาโปรดมนุษย์ เนื่องในวันออกพรรษา ประชาชนในชุมชนได้ร่วมทำบุญ อิ่มบุญกันถ้วนหน้า เป็นชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวรต้นแบบ ที่กระทรวงวัฒนธรรมส่งเสริมให้เป็น
ชุมชนบวร On Tour ที่ควรภาคภูมิใจและไปเยี่ยมเยือน |